กระชับต้นขาแบบเร่งด่วน Body jet Evo | Tighten Thighs
ไขมันสะสมเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง และอาหารแปรรูปมากเกินไป จนร่างกายไม่สามารถเผาผลาญไขมันได้หมด ทำให้ไขมันสะสมอยู่ตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณต้นขา สะโพกและบริเวณรอบเอว
เมื่อร่างกายได้รับพลังงานมากกว่าที่ร่างกายต้องการ ร่างกายจะเปลี่ยนพลังงานส่วนเกินเหล่านั้นให้เป็นไขมันสะสมไว้ที่ใต้ผิวหนัง ไขมันสะสมบริเวณต้นขามักเป็นไขมันดื้อ ซึ่งยากต่อการเผาผลาญ
นอกจากนี้ พฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่าง เช่น การนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน การสูบบุหรี่ และความเครียด อาจมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงในการสะสมไขมันบริเวณต้นขา
สาเหตุที่ทำให้ต้นขาใหญ่ มีด้วยกัน 2 สาเหตุหลักๆ คือ
- ไขมันสะสม : ต้นขาใหญ่จากการสะสมไขมัน เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตสูง น้ำตาลสูง หรือออกกำลังกายไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายสะสมไขมันส่วนเกินไว้ที่ต้นขา ซึ่งเป็นบริเวณที่มีไขมันสะสมได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น
- กล้ามเนื้อ : ต้นขาใหญ่จากกล้ามเนื้อ เกิดจากการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อขาเป็นหลัก เช่น วิ่ง เต้น กระโดด หรือเล่นเวทเทรนนิ่ง การออกกำลังกายเหล่านี้จะช่วยเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อขา ทำให้ต้นขาดูใหญ่ขึ้น
- พันธุกรรม : ต้นขาใหญ่อาจเกิดจากพันธุกรรม โดยในครอบครัวอาจมีสมาชิกหลายๆ คนที่มีต้นขาใหญ่
- ฮอร์โมน : ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนในการสะสมไขมันที่ต้นขา ผู้หญิงจึงมักมีต้นขาใหญ่กว่าผู้ชาย
- วัย : ไขมันในร่างกายจะสะสมมากขึ้นตามวัย ทำให้ต้นขาใหญ่ขึ้นได้
เซลลูไลท์ (Cellulite) คือ ลักษณะผิวที่ขรุขระหรือเป็นคลื่นบริเวณผิวหนัง เกิดจากไขมันใต้ผิวหนังที่อัดตัวกันอยู่อย่างหนาแน่น จนดันเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่อยู่ด้านบนออกมา ทำให้ผิวหนังมีลักษณะเป็นคลื่นหรือเป็นเปลือกส้ม เซลลูไลท์มักพบบริเวณต้นขา สะโพก ก้น และบริเวณรอบเอว พบได้ทั้งในคนผอมและคนอ้วน แต่พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
สาเหตุของการเกิดเซลลูไลท์
- ฮอร์โมนเพศหญิง: ฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนอาจมีส่วนทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันอ่อนแอลง ทำให้ไขมันใต้ผิวหนังดันเนื้อเยื่อเกี่ยวพันออกมาได้ง่ายขึ้น
- พันธุกรรม: เชื่อว่าพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการเกิดเซลลูไลท์
- น้ำหนักตัว: การมีน้ำหนักตัวมากเกินไปอาจทำให้เซลลูไลท์รุนแรงขึ้นได้
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต: พฤติกรรมการใช้ชีวิตบางประการ เช่น การนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน การสูบบุหรี่ และความเครียด อาจมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเซลลูไลท์
เซลลูไลท์ไม่ได้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่อาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่าง มีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดเซลลูไลท์ได้ เช่น
- การควบคุมอาหาร: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง และอาหารแปรรูป
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายจะช่วยกระชับกล้ามเนื้อและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ซึ่งอาจช่วยลดเซลลูไลท์ได้
- การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว: ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวบางชนิดอาจช่วยกระชับผิวและลดเซลลูไลท์ได้
- การทำหัตถการทางการแพทย์: การทำหัตถการทางการแพทย์ เช่น การทำเลเซอร์ หรือการทำตัวดูดไขมัน (body-jet evo)
วิธีลดต้นขาใหญ่
วิธีลดต้นขาใหญ่ด้วยตัวเอง คือ การออกกำลังกายและปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตสูง น้ำตาลสูง และดื่มน้ำให้เพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีและลดไขมันส่วนเกินได้
หากต้องการลดต้นขาอย่างรวดเร็ว
ฉีดเมโสแฟต
การฉีดเมโสแฟตลดต้นขา เป็นวิธีการสลายไขมันส่วนเกินที่ต้นขาด้วยการใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็กฉีดตัวยาเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ตัวยาจะทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ lipase และลดกระบวนการสร้างเซลล์ไขมันใหม่ ทำให้ไขมันที่สะสมอยู่บริเวณต้นขาสลายตัวและถูกขับออกจากร่างกาย ส่งผลให้ต้นขาเล็กลง
การฉีดเมโสแฟตลดต้นขามักใช้เวลาประมาณ 30-60 นาทีต่อบริเวณ โดยทั่วไปแล้วจะเห็นผลชัดเจนภายใน 2-3 เดือนหลังทำ และผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นาน 1-2 ปี
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดเมโสแฟตลดต้นขา ได้แก่ อาการบวมแดง ปวด ช้ำ หรือมีรอยเข็มฉีดยา อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์
การฉีดเมโสแฟตลดต้นขาเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการกำจัดไขมันส่วนเกินที่ต้นขา โดยไม่มีบาดแผลหรือรอยไหม้ และไม่ต้องพักฟื้นนาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันที่ต้นขาโดยไม่ต้องการผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม การฉีดเมโสแฟตลดต้นขาอาจไม่ได้ผลกับทุกคน ผู้ที่มีไขมันสะสมที่ต้นขาเป็นจำนวนมากหรือมีไขมันดื้อ อาจต้องฉีดเมโสแฟตหลายครั้งหรือใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
CoolSculpting สลายไขมัน
CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis) ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา โดยอาศัยหลักการที่ว่าเซลล์ไขมันมีความไวต่อความเย็นมากกว่าเซลล์อื่นๆ ของร่างกาย เมื่อนำไขมันไปสัมผัสกับความเย็นที่ระดับ -11 องศาเซลเซียส เซลล์ไขมันจะถูกทำลายและตายไปในที่สุด จากนั้นร่างกายจะค่อยๆ กำจัดเซลล์ไขมันที่ตายแล้วออกไปตามธรรมชาติ
CoolSculpting สามารถใช้เพื่อกำจัดไขมันส่วนเกินในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย เช่น ต้นขา สะโพก หน้าท้อง รักแร้ และก้น เป็นต้น โดยใช้เวลาในการรักษาประมาณ 30-60 นาทีต่อบริเวณ โดยทั่วไปแล้วจะเห็นผลชัดเจนภายใน 2-3 เดือนหลังทำ และผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานหลายปี
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการทำ CoolSculpting ได้แก่ ผิวบวมแดง ชา หรือปวดบริเวณที่รักษา อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์
ดูดไขมัน (body-jet evo)
Body-jet evo ดูดไขมันด้วยพลังงานน้ำได้รับความนิยมในการกำจัดไขมันส่วนเกินในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย เช่น ต้นขา
สะโพก หน้าท้อง เป็นต้น
การดูดไขมันสามารถทำได้โดยการใช้เครื่องมือดูดไขมันผ่านแผลขนาดเล็ก
การดูดไขมันมีความเสี่ยง ควรได้รับการดูแลโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อย่างเพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน